เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเราต่างยืนอยู่บนทางแยก เพราะสิ่งที่เราตัดสินใจในปัจจุบัน นอกจากจะส่งผลถึงอนาคตคนรุ่นใหม่แล้ว ยังส่งผลต่อโลกทั้งใบ เรื่องนี้กลายเป็นความชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลก และเนื่องจากความยั่งยืนไต่ระดับสู่การเป็นวาระสำคัญขององค์กรและผู้บริโภค เราจึงได้เห็นว่าองค์กรหลายแห่งกำลังใช้ความริเริ่มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มาขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกเพื่อมอบประโยชน์แก่โลกที่เราอาศัยอยู่
ในขณะที่ความต้องการในการปฏิรูปสู่ระบบดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ภาคส่วนต่างๆ ที่มีบทบาทสำคัญมากที่สุดในโลกไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตรกรรม อาคาร และการก่อสร้าง ตลอดจนดาต้าเซ็นเตอร์ ไอที พลังงานและสาธารณูปโภคด้านต่างๆ ล้วนตัดสินใจไปในแนวทางเดียวกัน คือการนำเรื่องความยั่งยืนมาใช้เป็นด่านหน้าของกลยุทธ์ในองค์กร
เทคโนโลยีจึงกลายเป็นปัจจัยหลักที่สร้างศักยภาพให้แก่ภาคธุรกิจ รวมถึงผู้บริโภค ซึ่งตลอดปีที่ผ่านมา มีการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล โดยชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเมินว่าภายในปี พ.ศ. 2578 ภาคไอทีทั่วโลก จะมีการใช้ไฟฟ้า สูงขึ้นถึง 8.5% เมื่อเทียบกับอัตราการเพิ่ม 5% ในปี พ.ศ.2564 นอกจากนี้ อุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ ก็จะกลายเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องรับหน้าที่หลักในการขับเคลื่อนการดำเนินงานที่สร้างความยั่งยืน ในการมีส่วนร่วมโดยตรงต่อเป้าหมายการพัฒนาความยั่งยืนของสหประชาชาติ 5 ประการ (SDGs)
ความยั่งยืนและภาคอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์
ผู้ประกอบการดาต้าเซ็นเตอร์หลายแห่งในปัจจุบัน ตั้งแต่ไฮเปอร์สเกลเลอร์ ไปจนถึงผู้ให้บริการคลาวด์และโคโลเคชั่น ได้นำร่องตลาดไปก่อนแล้ว ด้วยการทำเป็นแบบอย่างพร้อมประกาศเจตนารมย์อันแรงกล้าต่อสาธารณชนเกี่ยวกับความมุ่งมั่นในเรื่อง Net Zero โดยนำแนวทางที่ให้ความยั่งยืนมากขึ้นมาใช้ในธุรกิจดิจิทัล
ตัวอย่างเช่น Microsoft ได้เริ่มหันไปใช้พลังงานลมแบบหมุนเวียน ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะใช้กันมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการที่ทั้งภาครัฐบาลและประชาชนต่างให้ความสนใจและมีความต้องการใช้พลังงานหมุนเวียนกันมากขึ้น
เรื่องนี้ คือความจริงที่กำลังเป็นที่สนใจอย่างมากในภาคโคโลเคชั่น และในการสำรวจที่จัดทำขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ โดยชไนเดอร์ อิเล็คทริคและ 451 Research โดยมีผู้ประกอบการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลกกว่า 800 รายเข้าร่วมการสำรวจครั้งนี้ ผลสำรวจพบว่า 97% ของลูกค้าของผู้ให้บริการต่างขอให้มีเรื่องความยั่งยืนอยู่ในข้อผูกพันตามสัญญา และความต้องการเหล่านี้นับเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนให้เกิดความยั่งยืนในราว 50%
อย่างไรก็ตาม การตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นในเรื่องแนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืน ด้วยเป้าหมายด้านสภาพแวดล้อมที่สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างกว้างขวางนั้น ภาคส่วนของเราจะต้องทำงานร่วมกัน ซึ่งองค์กรธุรกิจต่างๆ จะไม่สามารถทำงานแบบไซโลได้อีกต่อไป
สำหรับหลายองค์กร การรวมความยั่งยืนไว้ในแนวทางปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องที่พูดง่ายมากกว่าการทำ แต่หากผลักดันให้เกิดการรับรู้ สร้างกลยุทธ์และใช้สิ่งจูงใจที่เหมาะสม เราจะสามารถสนับสนุนให้อุตสาหกรรมสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีประสิทธิภาพพร้อมปลูกฝังเรื่องความยั่งยืนที่ถูกต้องได้ตั้งแต่แรกเริ่ม บางสิ่งเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับผู้ให้บริการโคโลเคชั่น เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ เนื่องจากลูกค้าจำนวนมากอาศัยฐานการตัดสินใจจากการทำงานร่วมกับองค์กรที่ใส่ใจเรื่องความเป็นสีเขียว
แผนงานใน 4 ขั้นตอนเพื่อเอาชนะความท้าทายด้านสภาพอากาศ
ความยั่งยืนที่แท้จริงของดาต้าเซ็นเตอร์ในอุดมคติ ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด และในหลายแง่มุม การสร้างกลยุทธ์ที่ครอบคลุมต้องให้ผู้ดำเนินการมุ่งเน้นความสำคัญในหลายแง่มุมด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบดาต้าเซ็นเตอร์ พื้นที่ สาธารณูปโภคด้านพลังงาน รวมถึงกลยุทธ์ในการดำเนินงาน และบริหารจัดการด้านพลังงาน
แนวคิดดังกล่าวเป็นเรื่องที่ผมได้รับเชิญไปอภิปรายช่วง keynote ในการเปิดงาน DCD Europe Virtual เมื่อเร็วๆ นี้ และในช่วงเริ่มต้น จะมีองค์ประกอบพื้นฐานสามประการที่ต้องพิจารณา
ประการแรก เราต้องระบุหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อช่วยในการดำเนินการได้อย่างยั่งยืน ประการที่สอง ควรประเมินสินทรัพย์สินขององค์กรเพื่อตัดสินใจว่าจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ทั้งหมดได้อย่างไร และประการที่สาม ควรพิจารณาการออกแบบดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่หรือแนวคิดที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายด้านประสิทธิภาพและความยั่งยืน ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถนำมาใช้กับโครงการใหม่ หรือใช้ในการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกเดิมที่มีอยู่ได้
สำหรับหลายองค์กร แนวคิดทั้งสามประการนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ หรือเป็นแนวคิดที่ล้ำหน้า แต่เป็นหลักการสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนและช่วยสร้างแผนความยั่งยืนสี่ขั้นตอนได้อย่างครอบคลุม ซึ่งสามารถช่วยให้ผู้ประกอบการเอาชนะความท้าทายด้านสภาพอากาศได้ ขั้นตอนสำคัญคือ:
-
กำหนดความสำเร็จให้กับองค์กรของคุณ และสร้างศักยภาพให้กับทีมงานเพื่อช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้
-
กำหนดเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายที่ใหญ่หรือเล็กก็ตาม และพยายามให้ได้ผลลัพธ์แม้เพียงเล็กน้อยก็ตามในจุดที่สามารถทำได้ – 1% ต่อปี ถ้าทำได้ตลอดระยะเวลา 25 ปี ก็จะสร้างผลกระทบที่มีนัยสำคัญในองค์กรระดับโลกได้
-
ปรับใช้โปรแกรมทั่วทั้งธุรกิจของคุณ และวิเคราะห์ในจุดที่สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ในแต่ละเดือน แต่ละไตรมาส หรือในแต่ละปี
-
รักษาผลลัพธ์เอาไว้ ด้วยการดูแลสอดส่อง บริหารจัดการ และแบ่งปันบทเรียนที่ได้เรียนรู้