ในโลกธุรกิจ การบริหารความเสี่ยงทางการเงินเป็นเรื่องที่องค์กรต้องคำนึงถึงอยู่เสมอ ตั้งแต่การตรวจสอบและประเมินความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในระดับมหภาคที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านต่าง ๆ หลายประการ เช่น อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อ ไปจนถึงปัจจัยอื่นๆ ที่ถูกเพิ่มไปบนหน้ารายงานข้อมูลทางเศรษฐกิจ อาทิ เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน และธรรมมาภิบาล (ESG) ซึ่งการกำหนดกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงแบบครอบคลุมมีความสำคัญเป็นอย่างมากและถือเป็นงานที่ยิ่งใหญ่สำหรับประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) แม้ว่าองค์กรจะอยู่ในภาวะปกติก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้นการแพร่ระบาดใหญ่ทั่วโลกของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอน ลองจินตนาการถึงความยากลำบากที่ทีมบัญชีและการเงินต้องเผชิญเมื่อต้องจัดการ ดำเนินการ เพื่อบริหารและควบคุมทางการเงินที่สำคัญในแต่ละวัน การคาดการณ์ในระยะยาวกลายเป็นเรื่องที่ทำได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ และกลายเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับ CFO ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติงานในองค์กรธุรกิจที่มีขนาดเล็กหรือใหญ่ หรือในอุตสาหกรรมใดก็ตาม
การมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานะทางการเงินขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญในการสนับสนุนกิจกรรมทางธุรกิจ แต่ในปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว คำถามคือเราจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เรียลไทม์ และนำไปปฏิบัติได้จริงเมื่อถึงเวลา
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หลายบริษัทได้นำเทคโนโลยีมาใช้กับส่วนงานบัญชีและการเงินมากขึ้น รวมถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ แต่นั่นยังไม่ใช่คำตอบของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินการอย่างแท้จริง เราจำเป็นต้องคิดหาแนวทางใหม่ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้เทคโนโลยีนี้ตอบสนองวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องชัดเจน
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงสองปีที่ผ่านมาคือ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่เราต้องแน่ใจว่าในภาคส่วนที่เราจะนำเทคโนโลยีเข้าไปใช้นั้นเหมาะสมและสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ตอบโจทย์ด้านการบริหารจัดการรวมถึงความต้องการของผู้บริหาร โดยให้ข้อมูลที่ถูกต้องในรูปแบบที่ผู้บริหารต้องการผ่านเครื่องมือที่ชาญฉลาด เพื่อให้พวกเขาสามารถเห็นข้อมูลทางการเงินและใช้เป็นข้อมูลสำหรับการตัดสินใจต่อไป
การทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันให้ถูกต้องสมบูรณ์นั้นถือเป็นเรื่องที่ท้าทายยิ่งกว่า ดังนั้นทาง เอบีม คอนซัลติ้ง จึงได้ระบุประเด็นสำคัญสามประการเพื่อใช้สำหรับการพิจารณาในปี 2565 และปีต่อๆ ไปไว้ดังนี้
-
เปลี่ยนจากแรงงานมนุษย์มาเป็นระบบดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการทำงานที่ต้องทำซ้ำๆ เป็น Routine
มีงานหลายอย่างในสายงานบัญชีและการเงินที่ต้องใช้พนักงานในการทำงาน ซึ่งสามารถคาดการณ์ได้ และบางครั้งอาจต้องทำงานแบบเดิมซ้ำๆ การระบุว่างานใดมีขั้นตอนการทำงานที่ต้องทำซ้ำเป็นประจำ และสามารถช่วยจัดการและวิเคราะห์โดยปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ได้ จะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลให้เห็นผลอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ทีมบัญชีและการเงินขององค์กรมีเวลาเพิ่มขึ้นเพื่อจัดการงานอื่นๆ แทนได้
ตัวอย่างการใช้ระบบ Robotics Process Automation (RPA) ที่สามารถตั้งค่าสำหรับระบบบัญชีเจ้าหนี้อัจฉริยะ ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ และกระบวนการเรียกเก็บเงินอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยให้องค์กรประหยัดเวลาและลดค่าใช้จ่าย และ AI ยังสามารถนำมาใช้ในงานบัญชีต่างๆ ได้อีกหลากหลาย โดยท้ายที่สุดแล้วพนักงานบัญชียังสามารถตรวจสอบความถูกต้องและอนุมัติงานในขั้นตอนสุดท้ายได้อีกด้วย
การนำเทคโนโลยีและกระบวนการด้านบัญชีมาใช้แบบผสมผสานกันนั้นมีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน และผู้นำธุรกิจจำเป็นต้องก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลงนี้ และทำความเข้าใจว่าเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของบัญชีภายในองค์กรอย่างรวดเร็ว
-
ผสานรวมโซลูชันด้านดิจิทัล เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลทางการเงินได้มากขึ้น
ไม่ใช่ว่าทีมผู้บริหารทุกทีมจะมีพื้นฐานด้านการเงิน แต่พวกเขาจำเป็นต้องเข้าใจถึงผลประกอบการทางการเงิน เพื่อให้สามารถวางแผนและตัดสินใจได้ดีขึ้น ซึ่งทีมบัญชีและการเงินสามารถเข้าถึงเครื่องมือดิจิทัลที่จำเป็น สำหรับการแชร์ข้อมูลทางการเงินแบบเรียลไทม์ไปยังแผนกอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถึงเวลาแล้วที่จะเลิกใช้ตาราง กราฟ และสเปรดชีตแบบเดิมๆ เพราะการแสดงข้อมูลแบบภาพเป็นวิธีการนำเสนอข้อมูลที่ดีกว่า ซึ่งจะช่วยให้ผู้นำธุรกิจจากทุกๆ แผนกมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลการดำเนินงานทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการผลิต การตลาด ไอที หรือแม้แต่ซีอีโอ (CEO) เองก็ตาม
ปัจจุบันนี้ข้อมูลทางการเงินที่ซับซ้อนสำหรับระบบบริหารจัดการทรัพยากรภายในองค์กร (Enterprise Resource Planning : ERP), การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการและวิเคราะห์งบกระแสเงินสด และข้อมูลอื่นๆ สามารถแสดงแบบเรียลไทม์ในรูปแบบแดชบอร์ด (Dashboard) ได้ ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจและช่วยในการตัดสินใจได้ดีขึ้น
-
การวัดผลในสิ่งที่อาจจับต้องไม่ได้