เมื่อต้นปีนี้ ดิฉันได้นำเสนอมุมมองเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่กำลังเผชิญกับเมกะเทรนด์ 3 ประการ ได้แก่ ความยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงของคนทำงานในอุตสาหกรรม และการเดินหน้าไปสู่เทคโนโลยีระบบออโตเมชั่นที่เป็นมาตรฐานในระบบเปิด และในเดือนกันยายน ก็ได้หาจุดเชื่อมโยงระหว่าง ความยั่งยืนและการสร้างกำไรอย่างมีความรับผิดชอบ โดยในเดือนตุลาคม ก็ได้เขียนบล็อก เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของคนทำงานในทั่วโลก ที่กำลังขับเคลื่อนไปสู่ธุรกิจใหม่ และการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของซัพพลายเชน รวมถึงเครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยให้ผู้ใช้บริหารรับมือกับเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่ว่าได้อย่างไร
เมกะเทรนด์ เรื่องที่สาม เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้
เราทุกคนต่างประจักษ์ดีถึงการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมครั้งใหญ่ของคนทำงาน ที่หลักๆ แล้วมาจากแรงหนุนจากคนรุ่นที่ขับเคลื่อนการทำงานด้วยวัตถุประสงค์ ทั้งกลุ่มมิลเลนเนียล และคนรุ่น Gen Z (หรือ Zoomers) ที่ปัจจุบันคิดเป็น 40% ของคนทำงานในสหรัฐอเมริกา และเป็นคนยุคดิจิทัลรุ่นแรกที่ก้าวสู่การทำงาน จึงเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะได้เห็นว่าคนทำงานในรุ่นเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีและตอบสนองต่อเทคโนโลยีอย่างไร
ในขณะที่บทความจาก Forbes ชี้ชัดว่า คนทำงานอายุน้อยเหล่านี้ “ต้องการประสบการณ์การเชื่อมต่อในที่ทำงานแบบเดียวกับในชีวิตส่วนตัว อีกทั้งคาดหวังว่าจะสามารถเชื่อมต่อกับทีมงานผ่านระบบดิจิทัลในฟอร์แมตที่แตกต่างกันได้อย่างรวดเร็ว” โดยสรุปคือ คนเหล่านี้คาดหวังว่าสิ่งต่างๆ จะดำเนินไปด้วยดี และต้องการเลือกใช้เทคโนโลยีที่ตรงกับความต้องการในสไตล์ที่เข้ากับตัวเอง
ไม่ใช่เฉพาะแต่คนทำงานอายุน้อยที่คิดแบบนี้
สำหรับคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ ที่อีกไม่นานก็จะเกษียน หรือบรรดาเจนเอ็กซ์ ที่กำลังไปได้ดีกับสายอาชีพ คนทุกรุ่นในสายการทำงานที่หลากหลายขึ้นและมีมากขึ้นในปัจจุบัน ต่างพึ่งพาอาศัยเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของตน
โดยส่วนใหญ่ ทุกคนต่างได้เข้าไปมีส่วนร่วมอยู่ในโลกเทคโนโลยีปัจจุบันกันอยู่แล้ว จึงไม่ได้สนใจเรื่องของเครื่องมือที่อยู่เบื้องหลัง แค่ต้องการโซลูชันที่ดีที่สุดเพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายเท่านั้น
ใจความสำคัญก็คือ เราทุกคนจะเริ่มคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีระบบเปิดที่ประสานการทำงานร่วมกันได้ในชีวิตประจำวัน แต่ในสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมปัจจุบันส่วนใหญ่ ยังทำแบบนั้นไม่ได้ สำหรับลูกค้าหลายราย เรื่องนี้ค่อนข้างน่าหงุดหงิดและมีค่าใช้จ่าย อีกทั้งแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ไปสู่อุตสาหกรรมครั้งที่สาม ซึ่งก็คือการย้ายไปสู่ซอฟต์แวร์ออโตเมชั่นระบบเปิด และสภาพแวดล้อมการทำงานบนมาตรฐานระบบเปิด
คุณค่าของระบบเปิดที่ทำงานร่วมกันได้
แล้วลูกค้าของเราจะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะเทคโนโลยีบางอย่างในโรงงานมีการติดตั้งมานานนับหลายปี หรือกระทั่งหลายสิบปีแล้วก็ตาม
คำตอบก็คือต้องแน่ใจว่าอุปกรณ์ควบคุมอุตสาหกรรมและส่วนประกอบต่างๆ ทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น ปลอดภัยขึ้น ซึ่งการเปิดกว้างเพื่อการทำงานในระดับนี้ จะให้ฟังก์ชั่นงานทั้งหมดที่เราต้องใช้และต้องการใช้ ซึ่งบางอย่างอาจจะไม่เคยทำได้มาก่อน
ในสภาพแวดล้อมแบบปิด ที่ยึดติดกับเทคโนโลยีจากผู้จำหน่ายรายเดียว ทำให้เกิดข้อจำกัด ที่สามารถทำได้แค่การควบคุมบางอย่างตามฟังก์ชั่นการทำงานของเทคโนโลยีที่ผู้จำหน่ายมีมาให้เท่านั้น
ในขณะที่เทคโนโลยีระบบปิดซึ่งเป็นเทคโนโลยีดั้งเดิมและเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้จำหน่ายรายนั้นๆ อาจดีมากสำหรับการช่วยควบคุมความเสี่ยงในการดำเนินงานรูปแบบเดิมๆ ให้ความปลอดภัย ให้ประสิทธิภาพ และน่าเชื่อถือก็ตาม แต่มีข้อจำกัดสำหรับผู้ใช้ในเรื่องการดูแลและควบคุมความเสี่ยงทางธุรกิจในระดับที่สูงขึ้น อย่างเรื่องการคืนทุน ระยะเวลาในการสร้างรายได้และกระทั่งเรื่องของผลกำไร
อย่างไรก็ตาม เมื่อเราก้าวสู่สภาพแวดล้อมการทำงานแบบเปิด เราจะสามารถทำสิ่งที่แตกต่างได้ ซึ่งนอกจากจะทำให้มีมุมมองที่ดีขึ้น ควบคุมความเสี่ยงและปัจจัยแปรผันจากกระบวนการทำงานแบบเดิมๆ เหล่านั้นได้ เรายังสามารถควบคุมเรื่องอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องของคุณค่าทางธุรกิจนอกเหนือจากเรื่องเดิมๆ และไม่ใช่แค่เรื่องคุณค่าทางการเงินแต่เพียงอย่างเดียว

You must be logged in to post a comment.